การเลือกซื้อเครื่องปรับอากาศให้เหมาะสม
การเลือกขนาดแอร์ที่เหมาะสมกับบ้านนั้นเป็นอีกทางนึงที่ช่วยประหยัดเงินได้มาก ถ้าไม่มีผู้เชี่ยวชาญคอยให้คำแนะนำเกี่ยวกับอุณภูมิ ความร้อน ความเย็นของบ้านอย่างมืออาชีพแล้ว หลายคนก็ต้องตัดสินใจ เพิ่มเงินขึ้นอีกหน่อยซื้อแอร์ใหญ่กว่าพื้นที่ห้องเพื่อเผื่อไว้ ซึ่งไม่ถูกต้อง แต่ถ้าหากว่าได้ซื้อแอร์ในขนาดที่เหมาะกับห้องก็จะประหยัดเงินขั้นแรกได้ แล้วเพราะไม่ต้องจ่ายตังค์เกินความจำเป็น และยังประหยัดเงินในระยะยาวอีกด้วยเพราะจะได้ไม่ต้องเปลืองเงินไปกับค่าไฟ ที่เพิ่มขึ้นมาจากการทำงานหนักของแอร์เกินความจำเป็นในห้องขนาดเล็ก แอร์ที่มีขนาดใหญ่ไม่ใช่จะดีเสมอไปและอันที่จริงแล้วเครื่องปรับอากาศที่ ใหญ่เกินไปสำหรับห้องก็ไม่ทำให้ห้องเย็นอย่างที่ควรจะเป็นได้
คุณรู้มั้ยว่า เครื่องปรับอากาศที่มีขนาดพอเหมาะกับห้องนั้นรักษาอุณหภูมิและความเย็นของ ห้องได้คงที่กว่าเครื่องปรับอากาศที่มีขนาดใหญ่ เพราะถึงคุณจะปิดๆ เปิดๆแอร์เครื่องใหญ่ก็กินไฟากกว่าเครื่องเล็กที่เปิดออนตลอด แอร์ที่เปิดเป็นเวลานานในระดับการทำงานที่เบากว่ายังลดความชื้นของห้องได้ ด้วย ซึ่งแน่นอนว่า ทำให้ห้องเย็นขึ้นไปอีก ผู้เชี่ยวชาญด้านเครื่องปรับอากาศให้คำแนะนำเกี่ยวกับขนาดเครื่องปรับ อากาศที่เหมาะสมกับบ้านว่า ถ้าหากไม่รู้ว่าขนาดเครื่องปรับอากาศที่เหมาะสมกับขนาดห้องที่อยากติด อย่าซื้อให้ปรึกษาช่างผู้เชี่ยวชาญก่อน ค่าความสามารถในการทำความเย็น จะใช้ British Thermal Units หรือ BTU ต่อชั่วโมง
ซึ่งห้องส่วนใหญ่ก็จะมีเครื่องปรับอากาศที่มีค่า BTU อยู่ระหว่าง 9000 – 60000 BTU ตารางข้างล่างนี้จะช่วยบอกว่าจะเลือกแอร์ที่มี BTU ขนาดเหมาะสมกับห้องยังไง อันนี้เอาไว้เป็นตัวช่วยพิจารณาถ้าห้องที่ทึบแสงมากๆ, คุณก็สมารถเลือกเครื่องปรับอากาศที่มี BTU น้อยลงได้ เพราะห้องทึบมากจะลดการทำงานของแอร์ไปได้ 10%ถ้าห้องที่ร้อนเพราะแดดส่องถึง หรือโดนแดดส่องเป็นประจำ คุณก็ควรเพิ่ม BTU อีก 10%
ถ้าปกติห้องมีคนอยู่มากกว่า 2 คนก็ให้ตีเพิ่มไปเป็น คนละ 600 BTU แล้วคำนวณ ถ้าห้องครัว ก็เพิ่มไปอีก 4000 BTU/ ชม. ตัวเลขเหล่านี้ใช้สำหรับแอร์ติดห้องแต่แนะนำให้เชคกับคนติดตั้งที่ชำนาญ ด้วยให้ช่วยเลือกขนาด BTU ที่เหมาะสม และให้คำนึงถึงเทคนิคที่เราบอกด้วยเช่น ผนังกันความร้อนได้มั้ย หน้าต่างมืดมั้ย ร่มมั้ย หรือแม้แต่ม่าน มีตัวสะท้อนความร้อนหรือไม่ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยที่ช่วยลดขนาด BTU ของแอร์ได้
การบำรุงรักษาเครื่องปรับอากาศ
การใช้เครื่องปรับอากาศในประเทศไทยต้องได้รับการดูแลมากเป็นพิเศษ เนื่องจากประเทศไทยเป็นเมืองที่มีฝุ่นมาก
ทำให้ฝุ่นเกิดอุดตันในครีบแผงคอยล์ได้เร็วขึ้น ซึ่งเป็นสาเหตุให้แอร์ไม่เย็น น้ำรั่ว และเปลืองไฟ เพื่อให้เครื่องปรับอากาศทำงานเต็มประสิทธิภาพและมีอายุการใช้งานยาวนาน มีประสิทธิภาพสูง และประหยัดพลังงานไฟฟ้าตลอดเวลา
จึงควรหมั่นดูแลบำรุงรักษาอย่างสม่ำเสมอมีข้อแนะนำโดยทั่วไปเกี่ยวกับการ บำรุงรักษาดังนี้
- หมั่นตรวจสอบ และทำความสะอาดแผ่นกรองอากาศของหน่วยภายใน (Fancoil Unit) ทุก ๆ 2 สัปดาห์
- หมั่น ทำความสะอาดแผงคอยล์ (Evaporator Coil) ของหน่วยภายใน (Fancoil Unit) ทุก ๆ 6 เดือน เพื่อให้เครื่องทำความเย็นได้อย่างมีประสิทธิภาพอยู่เสมอ
- ทำความ สะอาดพัดลมส่งลมเย็น ด้วยแปรงเล็ก เพื่อขจัดฝุ่นละอองที่จับกันเป็นแผ่นแข็งและติดตามซี่ใบพัด ทุก ๆ 6 เดือน จะทำให้ พัดลมส่งลมเย็นได้ตลอดเวลา
- ทำความสะอาดหน่วยภายนอก (Condensing Unit) โดยใช้ปั๊มน้ำแรงดันสูงฉีดล้างทำความสะอาด 6 เดือน / ครั้ง เพื่อให้เครื่องสามารถนำความร้อน ภายในห้องออกไปทิ้งให้แก่อากาศภายนอกได้อย่างมีประสิทธิภาพ
-
มอเตอร์ พัดลมทั้งหน่วยภายใน (Fancoil Unit) และ หน่วยภายนอก (Condensing Unit) ต้องมีการตรวจ
เช็คทุก ๆ 6 เดือน และทำการหล่อลื่นโดยการอัดจาระบีหรือหยอดน้ำมัน อย่างสม่ำเสมอ - ตรวจดูถาดน้ำทิ้ง ทำความสะอาดเพื่อให้การไหลของน้ำทิ้งเป็นไปอย่างสมบูรณ์
- ตรวจดูทิศทางลมเข้าออกของหน่วยภายใน (Fancoil Unit) ต้องไม่มีวัสดุปิดขวางทางลม
- ตรวจสอบ และซ่อมแซมฉนวนท่อน้ำยาที่ต่อระหว่างหน่วยภายนอก (Condensing Unit) และหน่วยภายใน (Fancoil Unit) ไม่ให้เกิดการฉีกขาด
- ตรวจสอบหน้าต่างและประตูว่ามีรูรั่วทำให้อากาศร้อนจากภายนอกเข้าสู่อาคารหรือไม่
- หากปรากฏว่าเครื่องไม่เย็นเพราะ สารทำความเย็นรั่วต้องรีบหารอยรั่วแล้วทำการแก้ไขโดยการเชื่อมท่อน้ำยา พร้อมเติมน้ำยาให้เต็มระบบ โดยเร็ว เพราะแอร์จะใช้พลังงานไฟฟ้าโดยไม่ทำให้เกิดความเย็นแต่อย่างใด
- ติดต่อช่างบริการที่ชำนาญและเชื่อถือได้เพื่อตรวจสอบเครื่องปรับอากาศอย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง